วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เม่าแรกเกิด

สวัสดีค่ะไม่รู้ว่าจะยังมีคนเข้ามาอ่านอยู่รึป่าวนะคะ :)
หลังจากโพสที่แล้วคือได้งานทำประจำที่นี่แล้ว ก็เริ่มจะมีเงินเก็บ และได้ลองหาข้อมูลว่าเราจะทำอะไรดี นำเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารในเยอรมัน ดอกเบี้ยต่อปีคือ 0.01% (คุณไม่ได้ตาฝาดนะคะ ถ้าคุณฝากเงินไว้ 1,000 ยูโรที่นี่ คุณจะได้ดอกเบี้ยแค่ 1 ยูโรจร้า) มันช่างถูกแสนถูก นี่คือเรทฝากประจำด้วยนะ และถ้าคุณถอนเกินกำหนด ถอนจำนวณมากๆ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า คุณต้องเสียดอกเบี้ยค่าถอนด้วยนะจร้า เพราะฉะนั้นก่อนจะฝากเงินที่นี่ กรุณาอ่านเงื่อนไขดีๆ ไม่ใช่เชื่อธนาคารไปหมด เงื่อนไขตรงนี้เค้าไม่แจ้งเรานะจร้าตอนเราไปขอเปิดบัญชี (เรามาอ่านเจอทีหลัง) แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินก็ต้องแจ้งธนาคารล่วงหน้าก่อนถอนเกินกำหนด 3 เดือนจร้า .....
#เอาเป็นว่าฝากตังค์ไว้ในธนาคารที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับเราแล้วกัน แต่ก็มีแบ่งส่วนหนึ่งฝากไว้อยู่นะ

ก็ลองหาข้อมูลอยู่พักนึง ส่วนตัวเคยซื้อกองทุนที่ไทยมาก่อน ก็เลยลองดูว่าที่นี่เป็นไง พอไปหาข้อมูลแล้ว สงสัยว่าไมค่า commission แพงมากๆๆๆๆๆ บางตัวก็ฟรี แต่ส่วนใหญ่ก็ 1% - 3% และคุณจะต้องเสียค่าที่เค้าต้องแจ้งเสียภาษีทุกปีอีกแล้วแต่เรทธนาคาร ของเราโพสแบงค์น่าจะ 14.5 ยูโรต่อปี มาคิดตรึกตรองดูกำไรเราจะถึงไหม เฉพาะเสียค่าธรรมเนียมที่นี่ เพราะฉะนั้นเราก็เลยสรุปว่าการลงทุนกองทุน หรือจะซื้อหุ้นที่นี่ไม่น่าเหมาะกับเรา....กลับบ้านเรา รักรออยู่ (เพลงนี้ลอยมาเชียว)

งั้นลองหาข้อมูลที่เมืองไทยดูดีกว่า ขนเงินไปฝากส่วนนึงไว้ที่ไทยบ้างก็ดี เลยไปลองค้นหากองทุน หาข้อมูลการเล่นหุ้น (เราไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อน ก่อนมาเคยสนใจ แต่รู้สึกว่ายากจังแหะ เสี่ยงมาก รวมกับข่าวต่างๆ ที่เห็นคนหมดตัวบ้างหล่ะ ขาดทุนบ้างหล่ะ เราเลยเลิกสนใจหุ้น แต่เคยมีลงทุนในกองทุนรวม) ก็หาข้อมูลพวกการเปิดบัญชี คราวนี้พอหาไปหามาก็เลยมาสนใจการลงทุนหุ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้เราหาข้อมูลจริงจัง โลกอินเตอร์เน็ตทำให้เราได้เรียนรู้ มีแหล่งข้อมูลเยอะมาก ก็เริ่มจากดูในยูทูป เฟชบุ๊ค หา e-book มาอ่าน และศึกษาจริงจัง เราก็เลยโอเค ตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนในหุ้น

การลงทุนในหุ้น คุณจะต้องมีการเปิดพอร์ตสำหรับการลงทุน ซึ่งมีหลายโบกเกอร์ที่ให้บริการในเมืองไทย และอัตราค่าธรรมเนียมในการซื้อขายในแต่ละโบกเกอร์ก็ไม่เท่ากัน อาจจะมีขั้นต่ำ หรือไม่มี เนื่องจากเราไม่ได้กลับไทยไปดำเนินเรื่องเอกสาร เราเลยเลือกโบกเกอร์ที่สามารถเปิดออนไลน์ได้ เลยตัดสินใจเลือกโบกเกอร์ SCBS  เพราะเรามีบัญชีของไทยพาณิชย์อยู่แล้วยิ่งสะดวกมาก (ลองหาข้อมูลโบกเกอร์ได้ใน www.settrade.com ได้เลย) เปิดบัญชีกับโบกเกอร์ก็เหมือนเราเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารนะคะ คือถ้าเรามีเงินในพอร์ตไม่ได้นำไปซื้อหุ้น เราก็ได้ดอกเบี้ยเงินฝากปกติเหมือนธนาคาร เพราะงั้นไม่ต้องกลัวจร้า เงินไม่หาย ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ลงทุน

หลังจากเปิดพอร์ตเรียบร้อย โอนเงินเข้าไปไว้แล้ว เม่าแรกเกิดอย่างเราก็ต้องอยากลองของใช่ป่าว อ่านหนังสือแล้ว ดูยูทูปแนะนำการลงทุนแล้ว ตัดสินใจได้แล้วว่าเราจะลงทุนแบบไหนที่เหมาะสำหรับตัวเอง จริงๆ การลงทุนในหุ้นจะมีหลายแบบนะคะ เช่น day trade, swing trade, run trand หรือ ลงทุนระยะยาว หรือลงทุนต่อเนื่องระยะยาว (DCA) ต้องลองศึกษาดูว่าเราชอบแบบไหน
สำหรับเราจะแบ่งการลงทุนเป็น 2 แบบ คือ หุ้นระยะยาว และ run trand (ซื้อหุ้นตามเทรนด์ พอราคาขึ้น ได้กำไรก็ขายเอากำไร อาจจะถืออย่างน้อย 1 สัปดาห์ ถึง เดือน แล้วแต่นะคะ) อย่างที่ทุกๆ คนน่าจะเคยได้ยิน เงินลงทุนในหุ้น จะต้องเป็นเงินเย็น เพราะราคาหุ้นมันไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้มากๆ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน (ไม่งั้นคนที่ลงทุนในหุ้น คงรวยกันหมดทุกคน)

Application แนะนำที่ควรจะมีคือ Settrade, Streaming (ไว้ซื้อขายหุ้น) และ Stock Advisor (เฉพาะคนที่เปิดพอร์ตกับ SCBS ถ้าเปิดกับเจ้าอื่นเค้าก็จะมีเครื่องมือไว้สำหรับดูหุ้นให้ต่างหากนะคะ) เราคิดว่าใช้แค่สามแอพนี้ก็เพียงพอและ Set E-Book ไว้สำหรับโหลดหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน การออมเงินมาไว้อ่าน

1. เปิดพอร์ตแล้ว
2. ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นแล้ว
3. เลือกหุ้นที่เราต้องการลงทุน
4. ทดลองซื้อ-ขาย เนื่องจากเราก็ยังกล้าๆ กลัวๆ อ่ะนะ เราเลยไม่ได้ลองด้วยจำนวณเงินเยอะๆ เราโอนเงินเข้าบัญชีไปแค่ 5,000 บาท และคิดว่าถ้าต้องเจ๊งหมดนี่ก็ไม่เป็นไร มันไม่เยอะ ถือว่าเป็นการทดลอง
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานนะว่าเราศึกษามาดีแล้ว ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน ไม่ใช่ว่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปซื้อเลยมันก็จะเสี่ยงไปนะจร้า ***การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ***
5. เราเปิดบัญชีแบบ cash balance คือเราต้องโอนเงินเข้าไปฝากไว้ที่พอร์ต และสามารถลงทุนได้แค่ทำกับจำนวนเงินที่เรามี (แบบนี้จะดี เพราะเราจะไม่มีความเสี่ยงในการลงทุนที่เกินงบของเรานะจร้า เม่าแรกเกิดควรจะเปิดบัญชีแบบนี้)
6. ก่อนหน้าที่เงินจะเข้าบัญชี เราหาหุ้นการบ้าน (เลือกหุ้นที่เราจะลงทุนไว้ ล่วงหน้าเป็นอาทิตย์เลยนะ) หุ้นที่เราเลือกไว้ BEM, BTS, SPRC, IRPC, AP, TRUE
7. คือจริงๆ ตั้งใจจะซื้อ TRUE กับ IRPC แต่ดันได้ TRUE กับ SPRC มาซ่ะงั้น
ซื้อวันที่ 08/07/2019 TRUE 5.70 บาท/หุ้น และ SPRC 10.00 บาท/หุ้น พอซื้อปั้บ ตอนเย็นมาราคาหุ้นทั้งสองลงจร้า (วันแรกก็ลบแดงมาเชียว) ก็เอาอ่ะ ถือต่อไปก่อน cut loss ไว้ที่ 10% (ถ้าราคาลง และขาดทุน 10% ก็ตัดใจขายขาดทุน) แต่จริงๆ คนทนถือต่อได้นะ ถ้าไม่รีบร้อนใช้เงิน (เค้าเรียกว่า ติดดอย) ตราบใดที่ยังไม่ขายก็ไม่ขาดทุนนะคะ แต่สำหรับคน run trend เค้าคิดว่ายอมตัดขาดทุน นำเงินมาลงทุนซื้อตัวอื่นดีกว่า เพราะถ้าคุณติดดอย มันไม่ใช่แค่ระยะเวลาวันสองวัน บางทีหุ้นอาจจะราคาตกเป็นเดือน หกเดือน หรือเป็นปี และบางทีหุ้นอาจจะลงต่ำมากๆ จนคุณขาดทุนมากไปแล้ว ก็ต้องทนถือไปจนกว่าหุ้นจะขึ้นแบบนี้ (เค้าถึงบอกว่าเงินที่ลงทุนจะต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น)
ไว้เดี๋ยวมาอัพเดทต่อว่าผลการลงทุนของเราเป็นยังไง....ตอนนี้ยังเป็นเม่าแรกเกิด ยังต้องเรียนรู้โลกใบใหม่อีกเยอะมากมาย...สำหรับคนที่สนใจเรื่องหุ้นแล้วกล้าๆ กลัวๆ ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ แค่คุณอย่าโลภ และมีสติ ลองด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ก็ได้ เห็นไหมว่าเรายังสามารถซื้อหุ้นได้ แม้ว่าจะมีเงินแค่ห้าพันเอง

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สุดท้ายก็ได้งานทำที่เยอรมัน

## โอกาสไม่ได้วิ่งเข้าหาคนที่ไม่ทำอะไรเลย##

เขียนเรื่องนี้ไว้เตือนตัวเองเวลาท้อ และขอเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆ ที่ต้องมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศนี้ค่ะ

เราย้ายมาอยู่ที่เยอรมันได้ 3 ปี 10 เดือน และกำลังจะได้เซนต์สัญญาเข้าทำงานที่ Institut für Biometrie und Klinische Epidemiologie (iBikE), Charité Universitätsmedizin Berlin
เริ่มทำงานวันที่ 1 สิงหาคม 2018 ในตำแหน่ง Wissenschaftlerin Teilzeit 50% (19.5 hrs./week)

เราย้ายมาเยอรมันเดือนกันยายน 2014 และคลอดลูกชาย และใช้เวลาดูแลลูกปีกว่าๆ ถึงจะได้ไปเรียนภาษาเยอรมัน เดือนเมษายน 2016 (เริ่ม A1) ก็ลงเรียนภาษาเยอรมันมาเรื่อยๆ จนจบ B2 (เดือนเมษายน 2018) ตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาเยอรมันตลอดระยะเวลา 2 ปี ได้สมัครงานไปประมาณ 40 แห่ง (อาจจะมากกว่านั้น) ก็มีเรียกสัมภาษณ์บ้าง (แต่จะโดนปฏิเสธตลอดเรื่องภาษาเราไม่ดี เวลาทำงานไม่ได้ เพราะมีลูกเล็ก) เพิ่งมามีปี 2018 สมัครงานไปที่ไหนก็โดนเรียกสัมภาษณ์เกือบหมด (สมัครงานไป 40 แห่ง มีตอบปฏิเสธกลับมาประมาณ 30 ที่เหลือเงียบไปเลย)

ตอนต้นปี 2018 ได้สมัครงานที่ iBikE ไปในตำแหน่งนั้น และเค้าก็เรียกเราไปสัมภาษณ์ คือตอนนั้นดีใจมาก เพราะเป็นสายงานที่ตรงกับที่เคยทำมาที่ไทย (แต่ตัวเองเตรียมตัวไปไม่ดี) เค้ามีให้เตรียมนำเสนองานเป็น ppt อันนี้ก็ไม่ได้เตรียมไป (ก็คิดว่าคงไม่ได้งานแล้วหล่ะ) ในระหว่างสัมภาษณ์มีหัวหน้าหน่วย และนักสถิติประมาณ 5 คน สัมภาษณ์เราคนเดียว (แต่บรรยากาศก็ไม่ได้เครียด หรือน่ากลัวนะ) แต่เค้าถามว่าเราสามารถที่จะสอน นศ.แพทย์เป็นภาษาเยอรมันได้ไหม ให้ช่วยสอนให้ดูหน่อยในห้องสัมภาษณ์ เราตอบว่าไม่ได้ ภาษาเรายังไม่ได้ดีขนาดนั้น (คือสัมภาษณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องประสบการณ์ด้วย) จนสิ้นสุดการสัมภาษณ์ เค้าก็บอกให้รอคำตอบ

เรารอคำตอบจากที่นี่ที่เดียวประมาณ 2 เดือน ***เค้าก็ปฏิเสธมาว่าเค้าได้คนอื่นที่เหมาะสมกว่าเรา*** ตามแบบฉบับของการตอบปฏิเสธเข้ารับทำงาน สรุปง่ายๆ คือ ตกสัมภาษณ์ค่ะ
เราก็เลยอีเมล์ตอบขอบคุณเค้าไปที่สละเวลาสำหรับการสัมภาษณ์ และยินดีที่ได้รู้จัก
และตัดสินใจ (หน้าด้าน) ถามเค้าไปว่า "ฉันขอไปฝึกงานฟรีๆ ที่โน้นได้ไหม ด้วยเหตุผลว่าจะได้เรียนภาษาเยอรมันที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และมีประสบการณ์การทำงานที่นี่" และอีก 2-3 วันต่อมาก็ได้รับโทรศัพท์ว่าเค้าตอบรับให้เราไปฝึกงานฟรีๆ ได้ 6 สัปดาห์ โดยที่ไม่ได้ค่าแรง หรือแม้แต่ค่าเดินทาง (จริงๆ ขอไป 3 เดือน แต่ด้วยกฏหมายเยอรมัน ถ้านานกว่า 6 สัปดาห์ เค้าต้องจ่ายค่าแรงให้เรา) แต่มันก็คุ้ม เมื่อแลกกับประสบการณ์ และเทียบกับค่าไปเรียนภาษา

ตอนไปฝึกงานอาทิตย์แรก ฟัง-พูดเยอรมันได้แย่มาก (ในความรู้สึกของตัวเองนะ ทั้งๆ ที่เรียนจบ B2) แต่มันแย่จริงๆ เครียดด้วย กดดันด้วย แต่เพื่อนร่วมงานทุกคนน่ารัก เข้าใจว่าภาษาเราไม่ดี ก็พยายามช่วยพูดกับเราทุกอย่าง จนฝึกงานผ่านไปได้ 3-4 สัปดาห์ ก็ได้รับข่าวดีว่าเค้าจะรับเราเข้าทำงานนะ ด้วยเหตุผลที่ว่าเค้าเห็นว่าเราทำงานได้ดี (และก็คงสามารถทำงานได้อ่ะนะ) ก็ดีใจมากที่จะได้ทำงานอันเป็นที่รักอีกครั้ง (หลังจากที่ร้องไห้เสียน้ำตาไปกับการปฏิเสธทุกครั้งที่ถูกสัมภาษณ์งาน)

ตอนนี้ก็รอเซนต์สัญญาที่จะได้เริ่มทำงานแล้วจร้า
แต่อยากมาแชร์ไว้ว่า
1. คนเราต้องหาโอกาสให้ตัวเองเสมอ เพราะโอกาสจะไม่วิ่งเข้าหาเรา ถ้าเราไม่พยายามหามัน
    (ตอนแรกจะไม่ถามเรื่องขอฝึกงาน เพราะรู้สึกว่าเค้าอาจจะไม่รับเรา เพราะเค้าเพิ่งปฏิเสธไม่รับเราเข้าทำงาน) จนได้คุยกับหัวหน้า เค้าบอกว่าเธอทำงานได้ดี และสมควรที่จะได้รับมัน (เค้าก็คงรู้สึกผิดอ่ะนะที่ไม่รับเราแต่แรก 555+) แต่เราก็ขอบคุณเค้ามากๆ ที่ให้โอกาสเรามาฝึกงาน และยังรับเราเข้าทำงานด้วย
2. บางทีโอกาสนั้นก็อาจจะต้องรอเวลาที่เหมาะสม รอให้ทุกสิ่งอย่างพร้อมแล้วเราจะรู้ว่า "อะไรที่เป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา"

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

Deutsch für den Beruf B2+

แชร์ประสบการณ์เรียน Deutsch für den Beruf B2+ ที่ CBW Berlin
หลักสูตรเรียน 26.06.2017-15.09.2017 480 ชม. จันทร์ถึงพฤหัส 8.00-16.15 วันศุกร์ 8.00-11.15
มีสอบย่อยทุก 2 สัปดาห์ และสอบ telc Deutsch für den Beruf B1-B2 วันที่ 15.09.2017

เริ่มจากเข้าไปลงทะเบียนผู้หางานที่ Agentur für Arbeit และได้คุยกับที่ปรึกษา
เลยขอที่ปรึกษาว่าให้ช่วยเรื่องเรียนภาษาเยอรมัน เพราะภาษายังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอจะหางานได้ เค้าก็ให้ไปหาคอร์สเรียนเอง และนำ Maßnummer ไปให้ด้วย เพื่อเค้าจะได้ออก Gutschein ให้ได้เลย (กรณีของเราค่อนข้างเร่งรีบอ่ะนะ เพราะตัวเองอยากเรียนให้เร็ว และจบเร็ว) กรณีอื่นอาจจะต้องรอจดหมายไปที่บ้านก็ได้นะคะ

เมาท์มอยสถาบันที่ไปเรียน
คือหลักสูตรนี้ชื่อเป็น B2+ มีอาจารย์สอนสองท่าน ท่านนึงจะสอนแกรมม่า อีกท่านจะสอนพูด แต่พอไปเรียนจริงๆ ได้หนังสือ B1+ มา 1 เล่ม หนังสือแกรมม่า 1 เล่ม และหนังสือสำหรับเขียนจดหมายธุรกิจ 1 เล่ม
อาจารย์ที่สอนแกรมม่า ไม่สอนตามหนังสือเลย แจกชีทนอกตลอด และก็สอนแบบเร่งๆ ไม่มีเวลาให้ต้องคิด หรือได้ทำแบบฝึกหัดเลย เวลาพักครูเดินแจกชีท บอกให้ทำนั่นทำนี่ คือเวลาพักไม่ได้พักเลย แต่ข้อดีของแกก็มีนะ คือแกสอนละเอียด และเราได้คำศัพท์ใหม่ๆ และคำศัพท์ที่คล้ายกันเยอะมาก ประโยคเขียนจดหมายสวยๆ ก็มีเยอะ แต่นักเรียนในห้องไม่ค่อยชอบสไตล์การสอนของแก แกเลยโดนเด้งไปตอนสัปดาห์ที่ 6 (เราเรียนทั้งหมด 12 สัปดาห์)
ส่วนอาจารย์ที่สอนพูด เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้สอนพูดเท่าไหร่ แต่จะเป็นสอนเกี่ยวกับพวกอาชีพ ธุรกิจอะไรประมาณนั้น มีให้เขียน CV จดหมายแนะนำตัว สอนได้แค่ 2-3 สัปดาห์ (พวกเราประเมินไม่ดีด้วยแหละ) ก็ไม่มาสอนอีกเลย
อาจารย์ใหม่มา (แก่แล้ว) อันนี้สอนช้ามากๆ และสอนครั้งแรก เริ่มสอนที่ der die das นักเรียนทั้งห้องมองหน้ากัน นี่คอร์ส A1 หรือ B2+ ตอนแรกอาจารย์ท่านนี้มาสอนแค่ครั้งเดียว (โดนร้องเรียน) ก็เหมือนจะไม่ได้มาอีก พออาจารย์ท่านแรกโดนเด้ง ก็ปรากฎว่าไม่มีอาจารย์มาสอนห้องเราได้ โรงเรียนหาครูไม่ได้ก็เลยส่งอาจารย์ท่านนี้กลับมาสอนพวกเราอีกรอบจนจบคอร์ส ก็ทุลักทุเลกันไป แบบไม่ได้อะไรเลย

ข้อสอบ Telc Deutsch für den Beruf B1-B2
ถือว่าเป็นข้อสอบที่ค่อนข้างใหม่ เลยยังไม่ค่อยมีแหล่งเท่าไหร่ เพราะเหมือนจะเพิ่มเริ่มมีเมื่อปีที่แล้วเอง
ข้อสอบมี
สอบฟัง 4 ส่วน
สอบอ่าน 4 ส่วน
สอบ Sprachbausteine 2 ส่วน
สอบเขียน (จดหมาย 2 ฉบับ ภาย 45 นาที O_____O) เป็นจดหมาย 1 ฉบับ และอีเมล์ 1 ฉบับ
          จดหมายที่ได้จะเป็นจดหมาย Anfrage คือให้เขียนไปขอข้อมูลว่าบริษัทจะให้มีการทำห้องรับแขกใหม่ ให้ติดต่อบริษัทผู้รับเหมา
          อีเมล์ หัวหน้าเชิญเข้าร่วมประชุม แต่ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ให้แจ้งเหตุผลที่สำคัญ และมีข้อบังคับอีกสองข้อ (ทำไม่ทันเพราะไม่เข้าใจคำถาม)
สอบเขียนถือว่ายากเลยทีเดียว เพราะเวลาน้อย ให้เขียนสองฉบับถือว่าโหดมาก T_T

สอบพูด
พาร์ทแรก มีรูปอาชีพมาให้เลือก 3 รูป ให้เราเลือกมา 1 รูป แล้วจะโดนถามว่าทำไมเราถึงเลือกรูปนี้
                  และคำถามต่อมาคืออาชีพทำอะไรบ้าง (เราก็อธิบายโดยใช้รูปช่วย) ของเรามีรูป Reinigungkraf, Postzusteller, Medicaltechnikerin (น่าจะเป็นเทคนิคการแพทย์นะ ที่สามารถเจาะเลือดมาตรวจได้)

(***พาร์ทสอง และสามให้เวลาเตรียมตัว 20 นาที) คู่หลังๆ จะได้เปรียบเทียบ เพราะว่าถ้าเพื่อนที่สอบก่อนยอมบอกข้อสอบ เราจะได้ข้อสอบเหมือนเพื่อนๆ เป๊ะ เลยค่ะ

พาร์ทสอง เป็นการนำเสนอสั้นๆ ประมาณสองนาที ตามหัวข้อที่เลือก (เค้ามีให้เลือกสองหัวข้อ เราต้องเลือกพูดหนึ่งหัวข้อ) หัวข้อที่ได้คือ Flexibel Arbeitszeit กับ การสูบบุหรี่ในที่ทำงาน ส่วนของเพื่อนได้ Mittagpause กับการเรียนหนังสือทั้งวัน

พาร์ทสาม เป็นการวางแผนร่วมกัน ซึ่งหัวข้อจะเกี่ยวกับบริษัท หรือธุรกิจ ในข้อสอบของเราได้ว่าเราต้องวางแผนกับเพื่อนจะเปิดบริษัท Frühstück-service

สรุปจากความคิดเห็นส่วนตัวคือ
การเรียนหลักสูตรเต็มเวลาแบบนี้ไม่เหมาะกับคนที่มีลูกเล็กอย่างเราเลยค่ะ เพราะเรียนทั้งวันจริงๆ และตอนเย็นไม่มีเวลากลับมาทบทวนที่บ้านเลย ต้องตื่นตีห้าครึ่ง ไปส่งลูกหกโมงครึ่ง กลับบ้านอีกทีหกโมงเย็น เหนื่อยจริงๆ ค่ะ (แต่ก็ต้องขอบคุณคุณลูกด้วยที่อุตส่าห์อดทนมาได้ตั้งสามเดือนเพื่อให้แม่ได้ไปเรียน)

จบแล้วคร้า...อีก 6 สัปดาห์ถึงจะรู้ผลคร้า ^^

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แชร์ประสบการณ์ทำใบขับขี่เยอรมัน (แบบทำใหม่เริ่มใหม่หมด ไม่ได้นำใบขับขี่ไทยมาแลก)

แชร์ประสบการณ์ทำใบขับขี่เยอรมัน (แบบทำใหม่เริ่มใหม่หมด ไม่ได้นำใบขับขี่ไทยมาแลก)

จริงๆ ตัวเองมีใบขับขี่ไทยมาแล้ว (แต่ดันหมดอายุ ตอนที่อยากจะทำใบขับขี่เยอรมันพอดี) ไม่มีเวลากลับไทยเลยจำใจต้องลงใหม่หมดค่ะเป็น full course กันเลยทีเดียว (คือถ้าใครมีใบขับขี่ไทยมา ก็จะประหยัดเงินไปได้เยอะ ไม่ต้องไปนั่งเรียนทฤษฏี แค่อ่านเอง ฝึกทำข้อสอบเอง แล้วไปสอบ)

ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำใบขับขี่เยอรมัน
- First Aid 8 ชม. 30 ยูโร
- วัดสายตา 5 ยูโร
- รูปถ่าย (ไม่ได้เสีย เพราะใช้รูปเดิมที่เหลือจากทำวีซ่า)
***มีครบ 3 อย่าง ไปติดต่อ รร.ขับได้ หรือจะติดต่อไว้ก่อนก็ได้ แล้วไปสมัครทำใบขับขี่ที่ขนส่งของเมืองตัวเองค่ะ***
- ค่าสมัครทำใบขับขี่เยอรมัน 43.40 ยูโร
- Intensive course 1,996 ยูโร+ 50 ยูโร = 2,479.80 ยูโร (ค่าหนังสือภาษาอังกฤษจะแพงกว่าเยอรมัน) (หลักสูตรแบบเข้มข้น เรียนจบภายใน 2 สัปดาห์) แต่ของเราเรียนจริงๆ ก็ประมาณ 2 เดือน เพราะไม่รีบ และอยากสอบทฤษฏีให้ผ่านก่อน ถึงจะเริ่มเรียนขับรถค่ะ แต่หลักสูตรนี้เค้าให้เรียนขับพร้อมๆ กับทฤษฏีเลยก็ได้
      * 11 Fahrstunden
      * 12 Sonderfahrten
      * See&Learn Paket ของ FAHREN LERNEN
      * 1 Jahr ADAC Mitgliedschaft
    สรุป รร. นี้คิดค่าขับรถ ชม. (45 นาที) ละ 41 ยูโร
    ค่าสอบทฤษฏี 35 ยูโร (จ่ายให้ รร.ขับรถ) + 20.83 ยูโร (จ่ายให้ DEKRA)
    ค่าสอบขับ 100 ยูโร (จ่ายให้ รร.ขับรถ) + 84.97 ยูโร (จ่ายให้ DEKRA)
    แปลว่าถ้าสอบตกทฤษฏีต้องจ่ายใหม่ทั้งหมด 55.83 ยูโร ถ้าตกสอบขับจ่าย 184.97 ยูโร นะจร้า (ค่าสอบแต่ละ รร. คิดไม่เท่ากันนะค่ะ โปรดสอบถามที่ รร.ขับรถ โดยตรง)
- เรียนขับเพิ่มก่อนสอบไป 8 ชม. (41x8=328 ยูโร)
- สอบขับตกไป 1 ครั้ง (จ่ายค่าเรียนเพิ่ม 2 ชม. (82 ยูโร) + ค่าสอบขับ 184.97 ยูโร (รวม 266.97 ยูโร)
- ค่านำรถตัวเองไปฝึกขับในสนามขับรถ (ชม. ละ 8 ยูโร) (รวม 16 ยูโร)
- สอบขับตกครั้งที่ 2 จ่ายไป 184.97 ยูโร (นำรถไปฝึกขับเอง 2 ชม. 16 ยูโร)

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3,046.97 ยูโร

ภาคทฤษฏี (สอบเป็นภาษาอังกฤษ)
- ตอนไปสมัครทำใบขับขี่ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยนะค่ะว่าเราจะสอบเป็นภาษาอะไร (มันจะไปขึ้นในระบบวันที่เราไปสอบ เพราะฉะนั้นจะขอเปลี่ยนภาษาวันสอบไม่ได้ค่ะ)
- แนะนำว่าให้ฝึกทำข้อสอบจากแอพ หรือของ รร.ขับรถที่ให้มา (เน้นข้อสอบอย่างเดียวไปเลย ไ่ม่ต้องเน้นอ่านหนังสือมากค่ะ) โดยให้อ่านข้อสอบแยกเป็นบทๆ ไป สำหรับ Class B มี 14 บท การอ่านเป็นบทจะทำให้เราจัดลำดับการจำง่ายกว่าการฝึกทำข้อสอบแบบ mix ค่ะ ก็ทำไปทีละบทจนกว่าบทนั้นจะไม่ผิด หรือผิดน้อยสุดค่ะ
- ข้อสอบจะเหมือนกับตัวอย่างเป๊ะๆ แต่เค้าจะสุ่มมาแค่ 30 ข้อ (ตอนเราสอบมีข้อสอบมาให้ทำ 1049 ข้อ ^^!)
- ข้อสอบภาษาอังกฤษมันแปลได้งงงวยมากๆ ถ้าใครพอมีพื้นเยอรมัน แนะนำให้สอบเยอรมันจะดีกว่าค่ะ แต่ถ้าสอบภาษาอังกฤษก็อาจจะไม่ต้องสนใจแกรมม่า หรือความตรงๆ ของการแปลจากเยอรมันมาเป็นอังกฤษมาก เอาแค่จำคำถาม กับคำตอบไปก็พอค่ะ (เปิดดิกเฉพาะคำที่แบบไม่เข้าใจจริงๆ ก็พอ)
- วันสอบทำใจให้สบาย ลุยเลยคร้า ^^

ภาคปฏิบัติ (สอบขับที่เรียกได้ว่าหิน และขึ้นอยู่กับดวงด้วยจริงๆ นะ 555)
สอบขับครั้งที่ 1
- ไม่มีคำถามใดๆ ขึ้นรถให้ขับไปเลย (ที่ไม่มีอาจจะเพราะว่าตัวเองฟังเยอรมันไม่รู้เรื่อง เค้าเลยไม่ถามมั้ง 555)
- ขับโซน 30 km/h ระวังขวาก่อนซ้าย (ทุกแยก) ขับเกียร์ 3 ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง หรือแค่แตะๆ ให้เลขอยู่เหนือ 25 นิดๆ (อันนี้เทคนิคตัวเองนะค่ะ)
- จอด parallel
- ขับผ่านวงเวียน/แยกไฟแดง
- ขับ country road (70 km/h)
- ขับบน Autobahn
- ขับโชน 50 km/h ขับเกียร์ 4 หรือ 5 แค่แตะๆ (อันนี้เทคนิคตัวเองนะค่ะ)
- ขับโซน Pedestrian zone (Traffic-claming zone) ขับเกียร์ 1 ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง walking speed
- กลับรถ (แบบประมาณว่าบอกว่ามาผิดทาง ให้กลับรถ)
- Emergency break
- ป้าย STOP (มาตกม้าตายป้าย STOP ที่ 2 ตอนขับกลับตรงนี้ เพราะถนนดันโล่งพอดี เลยลืมหยุดแบบสนิทๆๆๆๆๆๆ ก็เบรกนะ แต่ปล่อยให้รถค่อยๆ ไหล ตกเลย อุตส่าห์ดีใจว่าใกล้ผ่านแล้ว หือๆ แฟนบอกว่าเวลาสอบขับห้ามดูนาฬิกา ไม่งั้นเราจะสติหลุด)
*** ระหว่างขับเค้าจะประเมินเราตลอดนะค่ะ
    - ดูกระจกหลัง กระจกข้างบ่อยๆ
    - ดูกระจกหลังก่อนเบรก
    - มองข้ามหัวไหล่ทุกครั้งที่เปลี่ยนเลน เลี้ยว สิ้นสุดทางจักรยาน แซงรถที่จอด (เปิดไฟเลี้ยวทุกครั้ง)
    - ความเร็วห้ามเกิน และห้ามช้ามากกว่าที่กำหนด
    - ชะลอความเร็วตรงทางม้าลาย (อันนี้ตอนสอบไม่เจอทางม้าลาย) เจอคนยืนให้จอด เพื่อให้คน หรือจักรยานข้าม

สอบขับครั้งที่ 2
- ไม่มีคำถามใดๆ ขึ้นรถขับไปเลย
- ขับโซน 30 แยกขวาก่อนซ้าย (เราชะลอรถแล้ว แต่ว่าไม่เห็นว่ามีรถมาก็เลยออกตัว พอออกตัวไปได้ครึ่งแยก เพิ่งเห็นว่ามีรถมาเลยไม่หยุด เพราะคิดว่าเราขับผ่านมาครึ่งแยกแล้ว) ตกเลยสิคร้า รออะไร ขับกลับภายใน 5 นาที (184.97 ยูโร หายไปในพริบตา) อยากจะร้องไห้มาก เซ็งทุกสิ่งอย่าง

สอบขับครั้งที่ 3
ฟ้าฝนเป็นใจมาก ด้วยการพรมน้ำมนต์ให้ทั้งวัน
- รอบนี้เจอไป 3 คำถาม ถามเกี่ยวกับระบบแสดงไฟในรถ ว่าอันไหนไฟสูง สัญญาณฉุกเฉิน และแตร์รถ
- ขับไปโชน 30 ระวังขวาก่อนซ้ายเหมือนเดิม
- จอด parallel อันนี้โดนครูเหยียบเบรก ตอนจะปิดจ็อบ (คือขับเดินหน้านิดเดียว) แต่เราเห็นว่ารถมันห่างจากขอบถนนเกิน 30 ชม. เราก็เลยหักรถเข้านิดหน่อย แต่ครูหวงยางรถยนต์ บอกว่าขอโทษนะที่ต้องเหยียบเพราะยางรถราคาแพง แต่โชคดีคนคุมสอบเค้าบอกว่าเราจอดโอเค เค้าไม่ให้ตก ก็ได้ขับต่อ
- ขับรถถนน one-way อันนี้ให้สังเกตป้ายดีๆ นะค่ะว่ามันสิ้นสุดถนน one-way ตรงไหน เพราะถ้าเลี้ยวซ้ายถนน one-way จะต้องขับมาเลนซ้าย
- ขับเข้าวงเวียน
- ขับ autobahn
- รอบนี้ไม่ต้องทำเบรกฉุกเฉิน (ครูใจดีมากๆ)
- โดนเตือนเรื่องขับรถช้า คือเค้าบอกว่าโซน 30 ให้ขับ 30 ขับ 20 ไม่โอเค โซน 50 ให้ขับ 50 ประมาณนี้
- ถอดหลังจอดเข้าซอง (เป็นอันเสร็จพิธีสอบ)
ได้ใบขับขี่มาครอบครอง เย้ๆ

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

Routine my baby at 1.5 years

วันที่ไปเดย์แคร์

7.30 ตื่นนอน
8.00 อาหารเช้า
8.30 ไปเดย์แคร์
11.00 อาหารกลางวัน
12.00 nap กลางวัน
14.30 ไปรับกลับจากเดย์แคร์
15.00 ขนม/ของว่าง
17.00 อาหารเย็น
18.00 อาบน้ำ
19.00 Brest feeding/แปรงฟัน
19.30 เข้าห้องนอน อ่านหนังสือก่อนนอน เล่นเฟชการ์ด (ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือกัน)
20.00/20.30 หลับ
03.00 ตื่นมาดูดนมแล้วหลับต่อถึงเช้า

วันที่อยู่บ้านกับพ่อ-แม่

7.30 ตื่นนอน
8.00 อาหารเช้า
8.30 กิจกรรม/เล่น
11.00 อาหารกลางวัน
12.30 Breast feeding/ nap กลางวัน (1-2 ชั่วโมง แต่ปกติถ้านอนกลางวันที่บ้านก็ 2 ชม.)
14.30/15.00 ขนม/ของว่าง/เล่น หรือพาออกไปเดินเล่น
17.00 อาหารเย็น
18.00 อาบน้ำ
19.00 Breast feeding/แปรงฟัน
19.30 เข้าห้องนอน อ่านหนังสือก่อนนอน เล่นเฟชการ์ด (ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือกัน)
20.00/20.30 หลับ
03.00 ตื่นมาดูดนมแล้วหลับต่อถึงเช้า

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หล่อน้อย 1 ขวบ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มาอัพบล็อคเลยเพราะยุ่งอยู่กับการดูแลเจ้าตัวเล็ก และงานที่ต้องทำ
หล่อน้อยของแม่ตอนนี้เดินได้แล้วคร้า....ชักสนุกไหมคะ? คือพอเธอเดินได้ ก็เดินทั่วห้องทั้งวันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยจริงๆ พลังงานของเด็กชั่งเยอะมากมาย
หล่อเริ่มเดินได้ตอนประมาณ 10 เดือนครึ่ง ถือว่าพัฒนาการค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับเด็กๆ ที่นี่ (แม้แต่คุณหมอยังเซอร์ไพร์ส ตอนไปหาเพื่อฉีดวัคซีนตอน 11 เดือน) มีฟันขึ้น 7 ซี่ ซี่ที่ 8 กำลังจะขึ้น เหยือกเริ่มบวมๆ แล้ว
และสืบเนื่องจากหล่อของแม่จะครบ 1 ขวบอีกไม่กี่วัน แม่ก็เลยคุยกับคุณพ่อว่าจะเลิกให้นมมื้อดึกแล้ว เพราะอยากให้หนูได้นอนหลับพักผ่อนยาวๆ (หรือแม่ว๊าาาา อิอิ) และถ้าเลิกมื้อดึกได้แล้ว จะได้ฝึกนอนต่อ และจะไม่มีการกินอะไรอีกเลยหลังจากหลับ เพราะฟันหนูก็ขึ้นหลายซี่แล้ว

***เลิกนมมื้อดึก ทีละมื้อ***
ปกติหล่อจะเข้านอนประมาณ 2 ทุ่ม หลับไม่เกิน 3 ทุ่ม และจะตื่นมากินนมรอบเที่ยงคืน และตีสาม
แม่ก็ตัดสินใจว่าโอเคจะลองเลิกมื้อตีสามก่อนก็นัดแนะกันกับคุณพ่อเรียบร้อย คืนแรกวันศุกร์เลย (ป๋าป๊าไม่ต้องไปทำงานเสาร์อาทิตย์พอดี)

คืนที่ 1 เลิกนมรอบตีสาม
03.00    ตื่นมาร้องกินนมจร้า...ตามคาดแถมดึงเสื้อแม่จะเปิดกินนมให้ได้ ก็ร้องอยู่ประมาณ 2-3 นาที ตบก้น ยอมนอน (แต่ยังไม่หลับ) ลุกมานั่งร้องใหม่ 2-3 นาที ตบก้น วนเวียนไปแบบนี้ จนหลับตอนตี 4 ครึ่ง
คือเค้าก็ไม่ได้ร้องตลอดเวลานะค่ะ หลับแล้วตื่นร้องเป็นพักๆ ร้องไม่นาน ตบก้นก็หลับต่อแบบนี้
คุณพ่อก็มาช่วย แต่มานอนหลับข้างๆ แถมกรนอีกต่างหาก ลูกจะหลับเลยไม่หลับ ที่ตลกคือลูกได้ยินเสียงพ่อกรน ก็เลยทำเลียนเสียงพ่อกรน (แต่ตัวเองยังไม่หลับนะ) ก็เลยไล่พ่อให้กลับไปนอนห้องตัวเอง ถ้าร้องแบบนี้แม่จัดการคนเดียวไหว
05.30 ตื่นมาร้องกินนม ก็ให้กินค่ะ เพราะเช้าแล้ว

คืนที่ 2 เลิกนมรอบตีสาม
02.30 ตื่นมาร้องกินนม เหมือนเดิมค่ะ ดึงเสื้อแม่ ร้องประมาณ 2 นาที ตบก้นนอนต่อ พร้อมบอกเค้าว่าไม่มีนมรอบดึกแล้วค่ะ กินอีกทีตอนเช้านะค่ะ (คราวนี้เร่ิมรู้เทคนิค ถ้าเค้าตื่นมากินนม อย่าปล่อยให้เค้าร้องนานค่ะ ให้รีบล้มตัวเค้านอนและตบก้นเลย เค้าจะหลับต่อได้ง่ายมาก แต่ถ้าเค้าร้องนานแล้วจะหลับต่อยากค่ะ)
04.30 ตื่นมาร้องกินนม ก็ให้กินค่ะ เพราะวันนี้เข้านอนเร็ว และนอนได้ 7 ชั่วโมงแล้ว

คืนที่ 3 เลิกนมทั้งคืน (แบบบังเอิญ)
11.30 เค้าตื่นมากินนมรอบเที่ยงคืน แต่แม่เข้าไปแล้วตบก้น เค้านอนหลับต่อได้ ก็เลยปล่อยให้เค้านอนยาว
04.00 ตื่นมาร้อง ให้กินนมค่ะ เพราะนอนยาว 7 ชั่วโมงแล้ว

คืนที่ 4 เลิกนมทั้งคืน
คืนนี้ตื่นบ่อยมาก ไม่ได้ดูนาฬิกาน่าจะประมาณ 4-5 ครั้งได้ และก็ร้องเสียงดังประมาณ 2-3 นาทีแต่ละรอบ ยื่นน้ำให้ดื่ม ตอนแรกไม่ยอม พอคิดว่าไม่ได้นมแน่ๆ ก็ยอมดื่มน้ำ เอาขวดน้ำมานอนกอดด้วยเลย (แม่สงสารแต่ไม่ใจอ่อน) ก็ยอมนอนหลับไป จนถึง 05.45 ตื่นมากินนม แม่ก็ให้กินแต่โดยดีค่ะ ดูท่าทางจะหิวจัด

ปล. เพิ่งได้ 4 คืน เดี๋ยวมาอัพต่อว่าใช้เวลาฝึกทั้งหมดกี่คืนนะค่ะ

Albert's routine 11-12 months old

06.00 Breastfeeding/continuous sleep
08.00 Get up
08.30 Breakfast
09.00 Activities
10.00 Breastfeeding
11.00 Lunch with Mom
11.30 Activities
12.30 Breastfeeding/Nap (1-2 hrs)
14.30 Awake/Activities/walking outdoor
17.30 Dinner
18.30 Bedtime Routine (Bath, food before sleeping, brush teeth)
19.30 Breastfeeding/Sleep

กิจกรรม
- flashcard
- เปิดหนังสือ (อันนี้เปิดได้ทั้งวัน วันละหลายๆ รอบ) ขนาดเอาหนังสือไปเก็บแล้วก็ตามไปหยิบมาให้เปิดได้เรื่อยๆ แถมเล่มเดิมด้วย
- เปิด-ปิดขวด (ขวดทุกชนิด ให้เปิดฝาให้ แล้วเค้าจะพยายามปิดเอง)
- เล่นขวดน้ำ
- เล่นบ้านบอล
- รื้อตู้เสื้อผ้า (ชอบมากกก)
- รื้อตู้เก็บของในห้องครัว (ชอบมากกก)

*** Update ผลของการเลิกนมมื้อดึก

จำไม่ได้ว่าจริงๆ กี่วัน แต่น่าจะประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ที่เค้าตื่นมาร้อง (แต่ร้องแบบแป๊บเดียว พอล้มตัวลงนอนก็หลับต่อได้เลย) แล้วเค้าก็นอนยาวเลยจากประมาณ 2 ทุ่ม ตื่นอีกทีตีห้า (อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง) คือถ้าตื่นมางอแง ร้องกินนมก่อนตีห้า ก็ไม่ให้กินค่ะ ให้ขวดน้ำดึ่มแทน เค้าก็รับไปดื่มแล้วก็นอนต่อได้ ก็ถือว่าโอเคในระดับนึง แต่ใจจริงก็อยากให้นอนรวดเดียวตื่นเจ็ด แปดโมง แต่คิดว่าเค้าคงหิวแน่ๆ เพราะเข้านอนเร็ว และกินข้าวเย็นเร็ว ก็เลยโอเคที่ตีห้าแล้วกัน รอให้โตกว่านี้หน่อยก็ค่อยจะเลือกมื้อนี้ไป
และตอนนี้ก็ไม่ได้ให้ดูดนมหลับตอนเย็นแล้ว พอแปรงฟันเสร็จให้เข้านอน ไม่ดูดนม ให้เค้าพยายามหลับเอง บางวันก็มีงอแงบ้าง ก็พยายามเบี่ยงเบน คือ ชวนคุย นอนเล่านิทาน ร้องเพลงกล่อมไป พอจังหวะเค้าเคลิมๆ ก็เงียบอย่างเดียวเลยค่ะ เค้าก็หลับของเค้าเองได้ ก่ะว่าจะไม่ให้ดูดตอนกลางวันด้วย ลองดูแล้ว 2-3 วัน ร้องบ้านแตกเลย สงสาร ก็เลยกลับมาให้ดูดนมหลับช่วงกลางวันเหมือนเดิม T__T

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หล่อน้อย 8 เดือนแล้วน๊าาา

ตั้งแต่กลับไทยตอนช่วงสงกรานต์ก็ไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกอีกเลย
หลังจากกลับจากไทย พัฒนาการของหล่อน้อยลูกแม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด
รวมถึง routine ที่หนูเคยมีก็เปลี่ยนด้วยนะจร้า 555 เพราะว่าตอนที่กลับไทยแม่ต้องเอาหนูเข้าเต้าตลอด ยาย และญาติๆ ไม่ยอมให้แม่ปล่อยให้หนูร้องซักแอะเลยคร้า ลูกร้องเมื่อไหร่บอกให้เอานมยัดปากตลอด (อาจไม่สุภาพ แต่พูดกันขำๆ นะค่ะ) ตอนนี้หนูเลยกล้ายเป็นคนที่ติดดูดนมนอนไปเรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่เคยพยายามจะฝึกหนูนอนเองอีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่สำเร็จเพราะหนูโตแล้ว และร้องดังมากๆ และแม่ก็ไม่อาจทนฟังเสียงร้อง และหน้าตาอ้อนวอนของลูกไม่ได้ สรุปเลยต้องให้ลูกหลับคาเต้าแล้วจึงวางลงเตียง
พัฒนาการเหนือน้อยของแม่หลังกลับจากไทย
พลิกหงายได้เองในเช้าวันที่ 28 เมษายน (5 เดือนจะเข้าเดือนที่ 6)
นั่งหลังตรงได้เองโดยที่ไม่ล้มวันที่ 30 เมษายน
พลิกคว่ำได้เองวันที่ 13 พฤษภาคม แต่ยังมีบางครั้งที่ก็ทำไม่ได้
พอเริ่มจะนั่งได้แล้วก็พยายามขยับก้นเพื่อจะไปหยิบของแต่ก็ยังไม่ได้ไกล และก็มีบางครั้งที่ล้มหัวขมำเชียว พยายามคว้าของทุกอย่าง
วันที่ 16 มิถุนายน หนูกระดึบเป็นหนอนชาเขียวได้ครั้งแรก แม่ถ่ายวิดีโอส่งไปให้ปาป๊าดู พอปาป๊ากลับมาจากทำงานก็ทำการฝึกหนูกระดึบกันใหญ่ โดยต้องมีของล่อใจคือไอแพด หรือไอโฟน ถ้าเป็นของเล่นหนูจะไม่สนใจเลย แต่ถ้าเป็นไอแพด หรือโทรศัพท์หนูจะกระดึบไปได้อย่างรวดเร็ว
เหนือน้อยตอน 6 เดือนครึ่ง ฟันสองซี่ล่างเริ่มจะขึ้น หนูตื่นงอแงทั้งคืน บ่อยมากๆ แทบจะทุกชั่วโมง และนอนได้นานหน่อยตอนหลังเที่ยงคืนเป็นเวลา 1-2 อาทิตย์เลยกว่าจะเริ่มเห็นฟันขาวๆ โผล่พ้นเหงือก พอฟันล่างออกมากแล้ว เว้นระยะไปประมาณ 2 อาทิตย์ ฟันบนก็ทำท่าจะงอกออกมาด้วย แต่ครั้งนี้มีโผล่มาแค่ 1 ซี่ และอาการเดิมคืองอแง ตื่นทั้งคืน (แม่ก็ตาเป็นหมีแพนด้าไปด้วย เพราะนอนไม่พอ) ตอนแรกแม่ยอมรับเลยว่ามีหงุดหงิดและไม่เข้าใจหนูว่าทำไมอยู่ๆ ถึงงอแงไม่ยอมนอน พอหลังจากที่สังเกตดูดีๆ แล้ว พบว่าหนูฟันกำลังจะขึ้นทำให้แม่ใจเย็น และเข้าใจหนูมากขึ้น ทุกครั้งที่หนูตื่นงอแงเพราะปวดเหงือก แม่จะอุ้มและโอ๋ จนกว่าหนูจะหลับอีกครั้ง (แม่ขอโทษนะค่ะที่บางครั้งก็ไม่เข้าใจลูกเลย นอนไม่พอด้วยก็เลยยิ่งหงุดหงิด)
วันที่ 3 กรกฎาคม หล่อน้อยของแม่ลุกนั่งได้เองอย่างเป็นทางการ กระดึบเก่งขึ้น เร็ว และก็พยายามที่จะคลานด้วยเข่าแต่ยังคลานไม่ได้ พอพยายามก็จะล้มแฟบกลับไปท่ากระดึบเหมือนเดิม เกาะยืนเริ่มเก่งแล้ว
วันที่ 6 กรกฎาคม หล่อน้อยของแม่ก็สามารถคลานด้วยเข่าได้แล้ว แต่ยังช้าเป็นเต่าอยู่เลย ยิ่งถ้าอยากได้ของเล่นเร็วๆ หนูจะไม่ยอมคลานเลย จะกระดึบเอาเพราะเร็วกว่า เกาะยืนเก่งมากแล้ว

routine ของหล่อน้อยตอน 8 เดือน
8.00 ตื่นนอน (+/- 1 ชม)
        เล่นกับแม่ แฟรชการ์ด ออกกำลังกาย
10.00 นอนช่วงเช้า (30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง)
        เล่น
11.30 อาหารเที่ยง ทานพร้อมแม่ อาบน้ำรอบเช้า
13.30 - 14.00 นอนช่วงบ่าย (1-2 ชั่วโมง)
        เล่นกับแม่ แฟรชการ์ด
17.30 อาหารเย็น (ถ้าง่วงก็ให้ nap ได้ 30 นาที)
       เล่น
20.00 กินนมจากเต้า เข้านอน (แล้วก็ตื่นเป็นพักๆ กล่อมๆ หลับๆ)
ตื่นมากินนมเที่ยงคืน ตีสาม ตีห้า