สวัสดีค่ะไม่รู้ว่าจะยังมีคนเข้ามาอ่านอยู่รึป่าวนะคะ :)
หลังจากโพสที่แล้วคือได้งานทำประจำที่นี่แล้ว ก็เริ่มจะมีเงินเก็บ และได้ลองหาข้อมูลว่าเราจะทำอะไรดี นำเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารในเยอรมัน ดอกเบี้ยต่อปีคือ 0.01% (คุณไม่ได้ตาฝาดนะคะ ถ้าคุณฝากเงินไว้ 1,000 ยูโรที่นี่ คุณจะได้ดอกเบี้ยแค่ 1 ยูโรจร้า) มันช่างถูกแสนถูก นี่คือเรทฝากประจำด้วยนะ และถ้าคุณถอนเกินกำหนด ถอนจำนวณมากๆ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า คุณต้องเสียดอกเบี้ยค่าถอนด้วยนะจร้า เพราะฉะนั้นก่อนจะฝากเงินที่นี่ กรุณาอ่านเงื่อนไขดีๆ ไม่ใช่เชื่อธนาคารไปหมด เงื่อนไขตรงนี้เค้าไม่แจ้งเรานะจร้าตอนเราไปขอเปิดบัญชี (เรามาอ่านเจอทีหลัง) แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินก็ต้องแจ้งธนาคารล่วงหน้าก่อนถอนเกินกำหนด 3 เดือนจร้า .....
#เอาเป็นว่าฝากตังค์ไว้ในธนาคารที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับเราแล้วกัน แต่ก็มีแบ่งส่วนหนึ่งฝากไว้อยู่นะ
ก็ลองหาข้อมูลอยู่พักนึง ส่วนตัวเคยซื้อกองทุนที่ไทยมาก่อน ก็เลยลองดูว่าที่นี่เป็นไง พอไปหาข้อมูลแล้ว สงสัยว่าไมค่า commission แพงมากๆๆๆๆๆ บางตัวก็ฟรี แต่ส่วนใหญ่ก็ 1% - 3% และคุณจะต้องเสียค่าที่เค้าต้องแจ้งเสียภาษีทุกปีอีกแล้วแต่เรทธนาคาร ของเราโพสแบงค์น่าจะ 14.5 ยูโรต่อปี มาคิดตรึกตรองดูกำไรเราจะถึงไหม เฉพาะเสียค่าธรรมเนียมที่นี่ เพราะฉะนั้นเราก็เลยสรุปว่าการลงทุนกองทุน หรือจะซื้อหุ้นที่นี่ไม่น่าเหมาะกับเรา....กลับบ้านเรา รักรออยู่ (เพลงนี้ลอยมาเชียว)
งั้นลองหาข้อมูลที่เมืองไทยดูดีกว่า ขนเงินไปฝากส่วนนึงไว้ที่ไทยบ้างก็ดี เลยไปลองค้นหากองทุน หาข้อมูลการเล่นหุ้น (เราไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อน ก่อนมาเคยสนใจ แต่รู้สึกว่ายากจังแหะ เสี่ยงมาก รวมกับข่าวต่างๆ ที่เห็นคนหมดตัวบ้างหล่ะ ขาดทุนบ้างหล่ะ เราเลยเลิกสนใจหุ้น แต่เคยมีลงทุนในกองทุนรวม) ก็หาข้อมูลพวกการเปิดบัญชี คราวนี้พอหาไปหามาก็เลยมาสนใจการลงทุนหุ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้เราหาข้อมูลจริงจัง โลกอินเตอร์เน็ตทำให้เราได้เรียนรู้ มีแหล่งข้อมูลเยอะมาก ก็เริ่มจากดูในยูทูป เฟชบุ๊ค หา e-book มาอ่าน และศึกษาจริงจัง เราก็เลยโอเค ตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนในหุ้น
การลงทุนในหุ้น คุณจะต้องมีการเปิดพอร์ตสำหรับการลงทุน ซึ่งมีหลายโบกเกอร์ที่ให้บริการในเมืองไทย และอัตราค่าธรรมเนียมในการซื้อขายในแต่ละโบกเกอร์ก็ไม่เท่ากัน อาจจะมีขั้นต่ำ หรือไม่มี เนื่องจากเราไม่ได้กลับไทยไปดำเนินเรื่องเอกสาร เราเลยเลือกโบกเกอร์ที่สามารถเปิดออนไลน์ได้ เลยตัดสินใจเลือกโบกเกอร์ SCBS เพราะเรามีบัญชีของไทยพาณิชย์อยู่แล้วยิ่งสะดวกมาก (ลองหาข้อมูลโบกเกอร์ได้ใน www.settrade.com ได้เลย) เปิดบัญชีกับโบกเกอร์ก็เหมือนเราเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารนะคะ คือถ้าเรามีเงินในพอร์ตไม่ได้นำไปซื้อหุ้น เราก็ได้ดอกเบี้ยเงินฝากปกติเหมือนธนาคาร เพราะงั้นไม่ต้องกลัวจร้า เงินไม่หาย ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ลงทุน
หลังจากเปิดพอร์ตเรียบร้อย โอนเงินเข้าไปไว้แล้ว เม่าแรกเกิดอย่างเราก็ต้องอยากลองของใช่ป่าว อ่านหนังสือแล้ว ดูยูทูปแนะนำการลงทุนแล้ว ตัดสินใจได้แล้วว่าเราจะลงทุนแบบไหนที่เหมาะสำหรับตัวเอง จริงๆ การลงทุนในหุ้นจะมีหลายแบบนะคะ เช่น day trade, swing trade, run trand หรือ ลงทุนระยะยาว หรือลงทุนต่อเนื่องระยะยาว (DCA) ต้องลองศึกษาดูว่าเราชอบแบบไหน
สำหรับเราจะแบ่งการลงทุนเป็น 2 แบบ คือ หุ้นระยะยาว และ run trand (ซื้อหุ้นตามเทรนด์ พอราคาขึ้น ได้กำไรก็ขายเอากำไร อาจจะถืออย่างน้อย 1 สัปดาห์ ถึง เดือน แล้วแต่นะคะ) อย่างที่ทุกๆ คนน่าจะเคยได้ยิน เงินลงทุนในหุ้น จะต้องเป็นเงินเย็น เพราะราคาหุ้นมันไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้มากๆ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน (ไม่งั้นคนที่ลงทุนในหุ้น คงรวยกันหมดทุกคน)
Application แนะนำที่ควรจะมีคือ Settrade, Streaming (ไว้ซื้อขายหุ้น) และ Stock Advisor (เฉพาะคนที่เปิดพอร์ตกับ SCBS ถ้าเปิดกับเจ้าอื่นเค้าก็จะมีเครื่องมือไว้สำหรับดูหุ้นให้ต่างหากนะคะ) เราคิดว่าใช้แค่สามแอพนี้ก็เพียงพอและ Set E-Book ไว้สำหรับโหลดหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน การออมเงินมาไว้อ่าน
1. เปิดพอร์ตแล้ว
2. ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นแล้ว
3. เลือกหุ้นที่เราต้องการลงทุน
4. ทดลองซื้อ-ขาย เนื่องจากเราก็ยังกล้าๆ กลัวๆ อ่ะนะ เราเลยไม่ได้ลองด้วยจำนวณเงินเยอะๆ เราโอนเงินเข้าบัญชีไปแค่ 5,000 บาท และคิดว่าถ้าต้องเจ๊งหมดนี่ก็ไม่เป็นไร มันไม่เยอะ ถือว่าเป็นการทดลอง
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานนะว่าเราศึกษามาดีแล้ว ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน ไม่ใช่ว่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปซื้อเลยมันก็จะเสี่ยงไปนะจร้า ***การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ***
5. เราเปิดบัญชีแบบ cash balance คือเราต้องโอนเงินเข้าไปฝากไว้ที่พอร์ต และสามารถลงทุนได้แค่ทำกับจำนวนเงินที่เรามี (แบบนี้จะดี เพราะเราจะไม่มีความเสี่ยงในการลงทุนที่เกินงบของเรานะจร้า เม่าแรกเกิดควรจะเปิดบัญชีแบบนี้)
6. ก่อนหน้าที่เงินจะเข้าบัญชี เราหาหุ้นการบ้าน (เลือกหุ้นที่เราจะลงทุนไว้ ล่วงหน้าเป็นอาทิตย์เลยนะ) หุ้นที่เราเลือกไว้ BEM, BTS, SPRC, IRPC, AP, TRUE
7. คือจริงๆ ตั้งใจจะซื้อ TRUE กับ IRPC แต่ดันได้ TRUE กับ SPRC มาซ่ะงั้น
ซื้อวันที่ 08/07/2019 TRUE 5.70 บาท/หุ้น และ SPRC 10.00 บาท/หุ้น พอซื้อปั้บ ตอนเย็นมาราคาหุ้นทั้งสองลงจร้า (วันแรกก็ลบแดงมาเชียว) ก็เอาอ่ะ ถือต่อไปก่อน cut loss ไว้ที่ 10% (ถ้าราคาลง และขาดทุน 10% ก็ตัดใจขายขาดทุน) แต่จริงๆ คนทนถือต่อได้นะ ถ้าไม่รีบร้อนใช้เงิน (เค้าเรียกว่า ติดดอย) ตราบใดที่ยังไม่ขายก็ไม่ขาดทุนนะคะ แต่สำหรับคน run trend เค้าคิดว่ายอมตัดขาดทุน นำเงินมาลงทุนซื้อตัวอื่นดีกว่า เพราะถ้าคุณติดดอย มันไม่ใช่แค่ระยะเวลาวันสองวัน บางทีหุ้นอาจจะราคาตกเป็นเดือน หกเดือน หรือเป็นปี และบางทีหุ้นอาจจะลงต่ำมากๆ จนคุณขาดทุนมากไปแล้ว ก็ต้องทนถือไปจนกว่าหุ้นจะขึ้นแบบนี้ (เค้าถึงบอกว่าเงินที่ลงทุนจะต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น)
ไว้เดี๋ยวมาอัพเดทต่อว่าผลการลงทุนของเราเป็นยังไง....ตอนนี้ยังเป็นเม่าแรกเกิด ยังต้องเรียนรู้โลกใบใหม่อีกเยอะมากมาย...สำหรับคนที่สนใจเรื่องหุ้นแล้วกล้าๆ กลัวๆ ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ แค่คุณอย่าโลภ และมีสติ ลองด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ก็ได้ เห็นไหมว่าเรายังสามารถซื้อหุ้นได้ แม้ว่าจะมีเงินแค่ห้าพันเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น